แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าวการเมือง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข่าวการเมือง แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2566

มาแล้ว ฉายารัฐบาลปี 66 สุดจี๊ด แกง​ส้ม​ "ผลัก" รวม - เซลล์แมนสแตนด์ "ชิน"

ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ได้มีการตั้งฉายารัฐบาลปี 66 ตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยได้ให้ฉายา รัฐบาลว่า แกง​ส้ม​ "ผลัก" รวม, นายกฯว่า "เศรษฐา" เซลล์แมนสแตนด์ "ชิน" โดยมีวาทะแห่งปี "ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย​"


เมื่อวานนี้ (26 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การตั้งฉายารัฐบาล และ รัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2566 ดังนี้

รัฐบาล ได้ฉายา แกง​ส้ม​ "ผลัก" รวม

"แกง" คือ คำสแลงที่ใช้แทนความหมายว่า แกล้ง "ส้ม" คือ สีของพรรคก้าวไกล ส่วนคำว่า "ผลักรวม" ล้อมาจากคำว่า "ผักรวม" เมนูแกงส้มยอดนิยมประเภทหนึ่ง เมื่อรวมกันแล้ว นิยามความหมายในทางการเมือง สะท้อนกระแสสังคม มองพรรคก้าวไกลถูกกลั่นแกล้ง MOU ถูกฉีก และ ถูกผลักออกจากการร่วมรัฐบาล ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมาย และ ข้ออ้างทางการเมือง ส้มจึงหล่นใส่พรรคอันดับรอง กลืนน้ำลายจัดตั้งรัฐบาล "มีลุง" ก็ไม่เป็นไร โดยให้เหตุผลเพื่อความสมานฉันท์ ทำเอาแฟนคลับผู้รักประชาธิปไตยถึงกับหัวใจสลาย ก่อเกิดวาทกรรม "ตระบัดสัตย์"

ดังนั้น แกง​ส้ม​"ผลัก"รวม จึงใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ของการจัดตั้งรัฐบาลที่ว่า "ชนะเลือกตั้ง แต่แพ้จัดตั้ง" ได้เป็นอย่างดี


นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ฉายา เซลล์แมนสแตนด์ "ชิน"

นับแต่เศรษฐีที่ชื่อ "เศรษฐา" เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เดินหน้าทำงานทันที โดยเฉพาะการหารายได้เข้าประเทศ ต้องยอมรับในความมุ่งมั่นตั้งใจ คิดเร็วทำไว เดินสายพกประเทศไทยใส่กระเป๋า ไปโรดโชว์จีบนักลงทุนทั่วโลก ประกาศตัวเป็นเซลล์แมนเต็มรูปแบบ

แต่ในทางการเมือง ยังถูกมองว่า ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง เงาของคนในตระกูล "ชินวัตร" ยังปกคลุม เปรียบเสมือนตัวแสดงแทน หรือ สแตนด์อิน เพราะเคยหลุดปากขณะออกงานพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดที่รักของนายใหญ่ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยเช่นกัน ว่า "นายกฯ คนไหน มีนายกฯ 2 คน” อีกทั้งหลายนโยบาย ก็ถูกวิจารณ์ว่า ต่อยอดมาจากนโยบายเดิม ของรัฐบาลนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​พาณิชย์ ได้ฉายา รองกอง

รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 คนที่นายกรัฐมนตรีต้องเชื่อใจ และ ปล่อยให้ดูแลทุกอย่าง เมื่อต้องออกไปเดินสายขายของในต่างประเทศ ต้องรับเละทุกงานในมิติการเมือง และ ถูกโยนให้รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลักหลายเรื่อง ที่นายกฯ หลายยุคหลายสมัยต้องนั่งหัวโต๊ะ

กลับกลายเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลนี้ รองนายกฯ ที่ชื่อ "ภูมิธรรม" ต้องทำหน้าที่แทน นับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาประมง กลุ่มพีมูฟ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ EEC หรือแม้แต่ช่วงวิกฤตนาทีชีวิตแรงงานไทยในอิสราเอล ประชุมนัดแรก ก็ยังเป็น "ท่านรอง ภูมิธรรม" ไหนจะงานหลักในกระทรวง ปัญหาของแพง ราคาอ้อย น้ำตาล อีรุงตุงนัง กองสุมอยู่รอบตัว เหมือนลองกอง ผลดก พวงยาว กิ่งใหญ่

นายสุทิน คลังแสง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กลาโหม​  ได้ฉายา พลิกทินสู่ดาว

ได้ยินแทบไม่เชื่อหู ใครเห็นเป็นต้องขยี้ตา เมื่อพลเมืองเต็มขั้น เคยรับเงินเดือนครู หลงใหลในดนตรีหมอลำ ผันตัวเข้าสู่แวดวงการเมือง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกองทัพ นอกจากนามสกุล "คลังแสง" ขนาดเจ้าตัวยังไม่เคยนึกฝัน ว่าชีวิตนี้จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

แต่ด้วยบุคลิกสุภาพ ใจเย็น มืออ่อน และ ลีลาร้องรำน่าเอ็นดู จึงเข้าได้กับทหารทุกกรมกอง พลิกชีวิตลูกอีสาน สู่ดาวเจิดจรัสเฉิดฉาย ท่ามกลางเหล่าทัพได้อย่างแนบเนียน

พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงยุติธรรม ได้ฉายา ทวี สอดไส้

ยิ่งกว่านอนมา สำหรับตำแหน่งเจ้ากระทรวงยุติธรรม เต็งหนึ่งชื่อเดียว แบบไร้คู่แข่งมาตั้งแต่ต้น สะท้อนความไว้วางใจจากนายใหญ่แค่ไหน คงไม่ต้องพูดถึง

แม้จะไม่โดดเด่นในการบริหารราชการช่วง 3 เดือนแรก แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็น เอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังเดินทางกลับมารับโทษ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตำรวจ ทำให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่คืนเดียว เผือกร้อนแค่ไหนคงไม่ต้องถาม มือพองแค่ไหนก็ต้องถือ กว่านายทักษิณจะออกจากคุก ต้องถูกจ้องถล่มอีกมากแค่ไหน คงไม่ต้องเดา

นายชาดา ไทย​เศรษฐ์​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​  ได้ฉายา มาเฟียละเหี่ยใจ

นักการเมืองชื่อดังแห่งจังหวัดอุทัยธานี ประวัติโลดโผน ภาพจำพัวพันวงการนักเลง ถูกประทับตรามาเฟีย ผู้คนยกสถานะให้เป็นผู้ทรงอิทธิพล แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธมาโดยตลอด พร้อมให้คำจำกัดความตัวเองไว้ว่า “ ความดีพอสมควร ความชั่วพอประมาณ สันดานพอคบได้”

หน้าที่การงานในตำแหน่งรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญ เป็นโต้โผปราบปราม "ผู้มีอิทธิพล" จนฮือฮากันทั้งประเทศ แต่ยังไม่ทันได้สร้างผลงาน "ลูกเขย" ก็สร้างเรื่องก่อน ถูกเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) จับกุม ในข้อหาเรียกรับสินบนจากผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการระบบประปาหมู่บ้านแบบบาดาล 2 โครงการ งานนี้เก้าอี้รัฐมนตรีร้อนระอุ เปิดแถลงข่าวภายใน 24 ชั่วโมง สั่ง "ลูกเขย" ยื่นใบลาออกทันที ไม่ต้องรอสอบสวน ลั่นเป็นลูกเขยชาดา สปิริตต้องมากกว่าคนอื่น

โดยได้ให้ "ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย" เป็นวาทะแห่งปี

​นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 หลังพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย

โดยขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ แต่ทำงานยังไม่ถึง 4 เดือน กลับขอลาพักผ่อนกับครอบครัวเป็นเวลา 4 วัน จนชาวโซเชียล อดแซวไม่ได้

หากถามนักข่าวหลายคนที่คุ้นเคย และ ตามติดภารกิจนายเศรษฐา ต่างรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ถึงคำว่า "ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย" แทบทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ตามนายกฯ 3 เดือนเหมือน 3 ปี ให้สัมภาษณ์ทุกที่ ที่มีโอกาส ถึงไม่เห็นหน้าก็มาทางโซเชียล ค่ำคืนไม่พักไม่ผ่อน

โพสต์ประเด็นร้อนทันใจ "ภูเก็ตก็แค่ปากซอย" นักข่าวพิสูจน์แล้ว นายกฯ ทำได้จริง พร้อมสะท้อนปัญหาหลักของนายกฯ ที่มักบอกว่าเป็นคนพูดตรง คือ การสื่อสาร หลายครั้งนำภัยมาสู่ตน เมื่อขึ้นศักราชใหม่แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร คงต้องรอติดตามกันต่อไป 

ที่มา ไทยพีบีเอส

วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

“จุลพันธ์” มั่นใจไร้อุปสรรค ได้เงินดิจิทัลเร็วสุด พ.ค. ปีหน้า

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง มั่นใจเงินดิจิทัล จะผ่านสภาและพรรคร่วมรัฐบาล คาดเริ่มใช้ เม.ย. ไม่ทัน เพราะยึดตามกรอบของกฎหมาย เร็วสุด พ.ค.67 พร้อมโต้ “ศิริกัญญา” มองมิติต่างกัน รัฐบาลเห็นความเดือดร้อนประชาชน และการเจริญเติบโตของประเทศมีปัญหา


นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในฐานะประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ถึงการยื่นกฤษฎีกาตีความนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตว่า ขั้นแรกจะต้องรอกระบวนการของทางกฤษฎีกาก่อน ในส่วนของการปรับหลักเกณฑ์เพื่อให้เงื่อนไขครอบคลุมมากขึ้น ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติม เพราะยังอยู่ในขั้นตอนของการปรึกษาในส่วนของกฎหมายให้เรียบร้อย

ต่อคำถามที่ว่ากระแสของสังคมที่ออกมาคัดค้านโครงนี้ รมช คลัง ระบุว่า ย่อมมีเสียงที่เห็นด้วยและเสียงที่เห็นต่า งซึ่งเป็นเรื่องปกติ เราก็มีหน้าที่ทำตามให้เป็นตามขั้นตอนของกฎหมายครบถ้วน และรับฟังเสียงสะท้อนทุกรูปแบบจากที่ดำเนินการมาตั้งแต่แรกก็จะเห็นได้ว่าก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบบางส่วนเพื่อให้เป็นไปตามเสียงที่ได้รับฟังมา ซึ่งพยามทำให้โครงการนี้เป็นประโยชน์ที่สุด และเป็นไปตามกรอบของกฎหมายทุกประการ

สำหรับกรณีที่มีการเรียกร้องให้มีการเปิดเผยบันทึกการประชุมของคณะกรรมการชุดใหญ่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ถ้าถามมาก็ตอบได้หมด ไม่ได้มีอะไรเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน โดยในที่ประชุมมีควาเห็นที่แตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ ส่วนการเปิดเผยบันทึกประชุม ตนไม่แน่ใจข้อกฎหมาย เพียงแค่ให้คำตอบได้ในแต่ละประเด็น


เมื่อถามถึงกรณีที่ นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล วิพากษ์จารณ์การดำเนินโครงการนี้ จะอ้างว่าเศรษฐกิจโตไม่ทันไม่ได้ นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า มิติต่างกัน คุณศิริกัญญา อาจเห็นถึงความจำเป็น และความหนักหน่วงของสถานการณ์ที่แตกต่างกัน  ความเดือดร้อนของประชาชนมาถึงจุดแล้ว เห็นการเจริญเติบโตของประเทศมีปัญหา ในมุมของรัฐบาล จะต้องนำเสนอขั้นตอนทุกอย่างให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย แล้วต้องบอกเหตุผลและความจำเป็นในมุมของรัฐบาล ส่วนความคิดเห็นต่างก็สามารถหารือร่วมกันได้

กับเรียกร้องของประชาชนที่ขอให้เริ่มใช้เงินดิจิทัลช่วงเดือน เม.ย. 67 ได้หรือไม่ นายจุลพันธ์ ยืนยันว่าไม่ทัน ปัญหาคือเราคำนวณเรื่องของกรอบเวลา ในเรื่องของ พ.ร.บ. จะมีขั้นตอนตามกฎหมายที่จะต้องดำเนินการ หากไม่มีอุปสรรคใด ๆ เร็วสุดก็คือเดือน พ.ค.67

เมื่อถามถึงความมั่นใจที่ พ.ร.บ.เงินกู้ จะผ่านสภาได้ นายจุลพันธ์ กล่าวว่ามีความมั่นใจ จากที่ได้รับฟังทุกคนทางพรรคร่วมรัฐบาล ก็เห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงความจำเป็นของนโยบายที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ และเชื่อว่าเสียงของสมาชิกวุฒิสภาจะไม่เป็นอุปสรรค

ที่มา PPTV Online


วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

#ปูอัด ขึ้น X Trends Thailand ปมคุกคามทางเพศ เรียกร้อง สส.ก้าวไกล ลาออก

การกรณีถูกร้องเรียนการคุกคามทางเพศของ สส. ทำให้ชาวโซเชียลและสส.หญิงพรรคก้าวไกล เรียกร้อง "ปูอัด ไชยามพวาน" ลาออก จน #ปูอัด ติดอันดับ 1 เทรนด์ X พร้อมทั้งเรียกร้องให้ขอโทษและเยียวยาผู้เสียหาย


ล่าสุด (2 พ.ย.2566) หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค และ สส.ของพรรคก้าวไกล กรณีถูกร้องเรียนคุกคามทางเพศ ได้มีมติเห็นควรให้ขับออกจากพรรคจำนวน 106 เสียง แต่ไม่ถึง 3 ใน 4 หรือ 116 เสียง ทำให้ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือปูอัด สส.กทม. เขตจอมทอง-บางขุนเทียน-ท่าข้าม ถูกตัดสิทธิพึงมีทั้งหมด และให้คาดโทษไปตลอดสมัยประชุมหากมีพฤติกรรมใดๆ ที่เข้าข่ายคุกคามทางเพศอีก ขณะที่นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี ถูกขับพ้นพรรคจากประเด็นร้องเรียนเดียวกัน


ชาวโซเชียลต่างออกมาวิจารณ์ว่า นายไชยามพวานเพียงแถลงขอโทษ แต่ไม่ได้ยอมรับผิด บางส่วนเปรียบเทียบ 2 เคส 2 มาตรฐาน พร้อมเรียกร้องให้นายไชยามพวาน ลาออก จนแฮชแท็ก #ปูอัด ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 แอปพลิเคชัน X ตามมาด้วยอันดับ 3 #พรรคก้าวไกล 

ไม่ต่างจาก สส. และ สก.หญิง ในพรรคก้าวไกล ที่ออกมาโพสต์วิจารณ์พร้อมเปิดภาพโปรไฟล์ X เป็นสีดำ "เนอส ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย" สก.บางซื่อ ระบุ "หน้า ด..ไม่มีความละอายแก่ใจ เป็นคนให้ได้ก่อนค่อยเป็นผู้แทนประชาชน" พร้อมติดแท็กชื่อ X ของนายไชยามพวาน

"ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์" หรือทนายแจม สส. เปลี่ยนโปร์ไฟล์เฟซบุ๊กเป็นสีดำ พร้อมโพสต์ข้อความ "เมา ไม่ใช่ consent"

"ไอซ์ รักชนก ศรีนอก" สส. โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ตนเองโหวตให้ขับออกทั้งสองกรณี "ไอซ์ชอบเรื่องที่ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ ยกตัวอย่างในที่ประชุม เรื่อง สส.ญี่ปุ่น ที่ยังอยู่ในอาการมึนเมาแล้วไปอภิปรายในสภา พอมีคนทักท้วงเรื่องนี้ โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสืบสวนสอบสวนหรือรอให้เรื่องเข้าสู่การพิจารณา สส. ท่านนั้นรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าผิด จึงรับผิดชอบด้วยการลาออก นี่คือมาตรฐานเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของ สส. ท่านนั้น...ในวันนี้น่าผิดหวัง ที่มาตรฐานในการรับผิดชอบต่อสังคมในการปฏิบัติหน้าที่ สส. ของเพื่อนสมาชิกที่กระทำผิดในกรณีอื่นๆ ยังไม่สูงเท่าพี่เต้อ แม้มีการพูดคุยเพื่อชี้แจงรายละเอียด ก็ยังไม่สามารถคิดได้และที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือยังไม่ยอมรับในความผิดของตนเลยด้วยซ้ำไป ประกาศกับสาธารณะชนได้หน้าตาเฉย...

ในที่ประชุมหารือ ได้มีข้อตกลงกันว่าในกรณีที่มีมติไม่ขับ จะต้องให้ผู้กระทำสำนึกผิด ขอโทษสังคม ขอโทษต่อเหยื่อและเยียวยาเหยื่อ ไอซ์ก็ขอตั้งตารอดู ว่าคำขอโทษจะออกมาจากใจจริงๆหรือจะเป็นแค่การแสดงอีกฉาก ที่ทำเพื่อให้รอดตัวไป และระหว่างที่รอผู้กระทำผิดแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและเหยื่อ (เรียกว่าแสดงความรับผิดชอบได้ไหมนะ)ไอซ์จะขอหยุดร่วมกิจกรรมกับพรรค หยุดร่วมกิจกรรมกับเพื่อนสมาชิกในพรรค กิจการในโควต้าและขอลาป่วย เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บในหลักการ จนกว่าจะมีการแถลงรับผิดและขอโทษเหยื่อ อย่างจริงใจของผู้กระทำ"

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.ก้าวไกล โพสต์ X "ไชยาพวาน ควรลาออก"

ขณะที่คณะก้าวหน้า อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ อย่าง "ปิยบุตร แสงกนกกุล" และ "พรรณิการ์ วานิช" หรือช่อ ได้โพสต์วิจารณ์เรื่องนี้เช่นเดียวกัน

"ปิยะบุตร" ระบุว่า การใช้อำนาจที่ได้จากตำแหน่งไปจูงใจล่อลวงบุคคลอื่นให้กระทำตามต้องการเพื่อแลกเปลี่ยนกัน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวพันเรื่องเพศ เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ในยุคสมัยนี้ และพรรคก้าวไกลต้องยกระดับมาตรฐาน ป้องกัน ต่อต้านการคุกคามทางเพศและความรุนแรงทางเพศในองค์กรหรือสถานที่ทำงานให้ได้ตามที่โฆษณาไว้

"พรรณิการ์" ระบุว่า คณะกรรมการวินัย คณะกรรมการบริหารพรรคฯ มีมติว่าทำผิดวินัยร้ายแรง คุกคามทางเพศ ที่ประชุมร่วม สส. และกรรมการบริหารก็โหวตขับถึง 106 เสียงจาก 128 เสียง ขาดเพียง 10 เสียงจะขับออกได้ตามกฎหมาย จึงเรียกร้องให้นายไชยามพวาน ลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน

ที่มา ไทยพีบีเอส



ไอซ์ รักชนก ลั่นขอหยุดร่วมกิจกรรมพรรคก้าวไกล ผิดหวังมติไม่ขับ สส.ปูอัด

ไอซ์ รักชนก เผยผิดหวังมติไม่ขับ สส.ปูอัด พร้อมขอหยุดร่วมกิจกรรมพรรค จนกว่าผู้กระทำผิดจะออกมาขอโทษเหยื่ออย่างจริงใจ


วันนี้ (2 พ.ย. 66) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคก้าวไกล โพสต์แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลและสส.พรรคก้าวไกล มีมติขับ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี ออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกล เพราะถือว่าเป็นการผิดวินัยร้ายแรง ส่วนกรณีนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. ที่ประชุมออกเสียงไม่ถึง 3 ใน 4 ให้ขับพ้นสมาชิกพรรค จึงให้มีการรอคาดโทษไว้ก่อน เพื่อให้ยอมรับผิด และขอโทษจากการกระทำ

โดย น.ส.รักชนก ได้ระบุว่า ตัวไอซ์โหวตให้ขับออกทั้งสองกรณีค่ะ ไอซ์ชอบเรื่องที่ไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ (ขออภัยที่เอ่ยนาม)ได้ยกตัวอย่างในที่ประชุม คือเรื่อง สส. ญี่ปุ่น ที่ยังอยู่ในอาการมึนเมาแล้วไปอภิปรายในสภา พอมีคนทักท้วงเรื่องนี้ โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสืบสวนสอบสวนหรือรอให้เรื่องเข้าสู่การพิจารณา สส. ท่านนั้นรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าผิด จึงรับผิดชอบด้วยการลาออก นี่คือมาตรฐานเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของ สส. ท่านนั้น

เช่นเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้ อดีต สส. ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เมาแล้วขับ หลังถูกจับ ประกาศลาออกทันทีเพื่อรับผิดชอบต่อสังคม ไอซ์ขอนับถือใจพี่เต้อเลยจริงๆ ทั้งๆ สามารถใช้หลายๆวิธีที่จัดการเรื่องได้ แต่พี่ก็เลือกที่จะลาออก เพื่อยืดอกแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างมาตรฐานไว้สูงลิ่ว น่ายกย่องอย่างยิ่ง

ซึ่งในวันนี้น่าผิดหวัง ที่มาตรฐานในการรับผิดชอบต่อสังคมในการปฏิบัติหน้าที่ สส. ของเพื่อนสมาชิกที่กระทำผิดในกรณีอื่น ๆ ยังไม่สูงเท่าพี่เต้อ แม้มีการพูดคุยเพื่อชี้แจงรายละเอียด ก็ยังไม่สามารถคิดได้และที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือยังไม่ยอมรับในความผิดของตนเลยด้วยซ้ำไป ประกาศกับสาธารณะชนได้หน้าตาเฉย

แต่ไอซ์ยังพออุ่นใจในอนาคตทิศทางของพรรคได้อยู่บ้าง เพราะกรรมการบริหารยังมีมติเอกฉันท์ ให้ขับออก อย่างน้อยทิศทางเรื่องนี้ต่อสังคมกรรมการบริหารพรรคก็ชัดเจน เป็นธรรมกับสังคม (ขอไม่ใช้คำว่าเป็นธรรมกับทุกฝ่ายนะ บางฝ่ายที่มาเรียกร้องความเป็นธรรม เอาอะไรมาเรียกร้องก่อน หน้าด้าน)

ไอซ์ดีใจจริงๆ ที่ได้รับรู้ได้ว่าสามารถไว้วางใจพี่ต๋อมในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้อย่างเต็มที่ ทัศนคติเรื่องการคุกคามทางเพศของพี่ต๋อมชัดเจน มาตรฐานสูงมาก ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งที่ชาวเน็ตเค้าเรียกว่าความ “ชายแทร่” อย่างน้อยอนาคตของพรรคในเรื่องแบบนี้ก็ยังไว้วางใจอะไรไว้กับกรรมการบริหารได้

ถึงแม้ผิดหวังในมติ แต่ไอซ์ก็พยายามอย่างถึงที่สุดเท่าที่คนๆ นึงจะสามารถพยายามได้ ที่จะเข้าใจ ว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเองและไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนต้องรับผลร่วมกัน

ในที่ประชุมหารือ ได้มีข้อตกลงกันว่าในกรณีที่มีมติไม่ขับ จะต้องให้ผู้กระทำสำนึกผิด ขอโทษสังคม ขอโทษต่อเหยื่อและเยียวยาเหยื่อ ไอซ์ก็ขอตั้งตารอดู ว่าคำขอโทษจะออกมาจากใจจริงๆ หรือจะเป็นแค่การแสดงอีกฉาก ที่ทำเพื่อให้รอดตัวไป

ระหว่างที่รอผู้กระทำผิดแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและเหยื่อ (เรียกว่าแสดงความรับผิดชอบได้ไหมนะ)ไอซ์จะขอหยุดร่วมกิจกรรมกับพรรค หยุดร่วมกิจกรรมกับเพื่อนสมาชิกในพรรค กิจการในโควตาและขอลาป่วย เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บในหลักการ จนกว่าจะมีการแถลงรับผิดและขอโทษเหยื่อ อย่างจริงใจของผู้กระทำ

ด้วยรักและเคารพ พรรคใหญ่กว่าคนประชาชนใหญ่กว่าพรรค ด้วยความรักที่มีอย่างเต็มเปี่ยมต่ออุดมการณ์พรรคก้าวไกลด้วยความเคารพต่อประชาชนที่เลือกพวกเรามา เคารพมติกรรมาธิการ เคารพมติที่ประชุม เคารพความคิดเห็นของเพื่อน สส. อาจมีคนไม่พอใจในข้อความในโพสนี้ของเรา ต้องขอโทษจริงๆ แต่ขอพื้นที่เล็กๆตรงนี้เป็นรูระบายให้ใจเราทีเถอะ

ที่มา ข่าวสด, FB Rukchanok Srinork


วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566

"ก้าวไกล" ประชุมชี้ขาดสอง สส.ปมคุกคามทางเพศ

"ก้าวไกล" ยืนยันไม่มีวัฒนธรรมปกปิดความผิด พรุ่งนี้เตรียมให้ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและ สส.ลงมติลงโทษ 2 สส.หลังกรรมการวินัยชี้กระทำเข้าข่ายคุกคาม-ล่วงละเมิดทางเพศ 

วันนี้ (31 ต.ค.2566) น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.ก้าวไกล เปิดเผยผลการสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณี สส.กทม. และ สส.ปราจีนบุรี มีพฤติกรรมเข้าข่ายคุกคามทางเพศ ว่า มติของกรรมการวินัยและมติของกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ทั้ง 2 กรณีเป็นการกระทำที่เข้าข่ายคุกคามทางเพศและล่วงละเมิดทางเพศ

ได้กล่าวยืนยันว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้นิ่งนอนใจและให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว โดยบทลงโทษการกระทำผิดวินัยร้ายแรงตามข้อบังคับของพรรค มี 2 แนวทาง คือ การตัดสิทธิ์พึงมีจากพรรค และการขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ซึ่งจะนำมติเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารและ สส.ในวันที่ 1 พ.ย.นี้

พร้อมย้ำว่า พรรคก้าวไกลไม่มีวัฒนธรรมปกปิดความผิด หากจะต้องเสียบุคลากรไป ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการวินิจฉัย ยืนยันตามข้อเท็จจริง ไม่มีอคติ

น.ส.เบญจา กล่าวย้ำว่า พรรคก้าวไกลมีบทลงโทษเรื่องนี้ชัดเจนและเป็นไปตามข้อบังคับพรรค ซึ่งต้องใช้เวลาพิจารณาและดำเนินการอย่างรอบคอบก่อนตัดสินลงโทษทางวินัย ขณะเดียวกันก็ให้ความคุ้มครองผู้ร้องด้วย และยืนยันไม่ได้ห่วงเรื่องจำนวน สส. หากที่ประชุมกรรมการบริหารและ สส.มีมติเห็นว่าเป็นโทษกระทำผิดวินัยร้ายแรงสมควรขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ก็น้อมรับ

โดยในวันที่ 1 พ.ย.นี้ เวลา 17.00 น. พรรคก้าวไกลนัดประชุมกรรมการบริหารพรรคและ สส.ของพรรค ที่รัฐสภา เพื่อลงมติลงโทษ 2 สส.ที่ถูกร้องเรียนเรื่องดังกล่าว

ที่มา ไทยพีบีเอส



วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2565

ทนายตั้ม ขอเสี่ยงเผยนักการเมืองลวนลามนศ.สาว นับสิบราย

“ทนายตั้ม” โพสต์เฟสบุ๊กระบุมีเหยื่อนศ.สาว ร้องต่อตนว่าถูกรองหัวหน้าพรรคการเมืองดัง ลวนลาม มีเหยื่อติดต่อเข้ามาเพิ่มเกือบ10ราย ลั่นหลักฐานแน่น ยอมเสี่ยงหมิ่นประมาทเผยความจริง 


วันนี้ (14 เม.ย.) เวลา 12.50 น. นายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เปิดเผยข้อความทางเพจเฟซบุ๊ก ถึงกรณีนักศึกษาสาว ถูกรองหัวหน้าพรรคการเมืองดังอนาจาร โดยข้อความระบุว่า “อัพเดทข่าวเบื้องต้น รองหัวหน้าพรรคดัง มีพฤติกรรมชอบลวนลามเด็กสาววัย 18 เหยื่อติดต่อเข้ามาในไลน์ษิทราลอส์เฟิร์มนับสิบราย นอกจากนั้นในเพจข่าวยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในขณะเรียนอยู่ลอนดอน ประเทศอังกฤษก็มีพฤติกรรม Sexual Harrasment [ในกระทู้ข่าวเขียนถึง Rape ซึ่งแปลว่าข่มขืน] สำหรับผมมองว่าในตำแหน่งหน้าที่การงานที่ใหญ่ขนาดนี้ มันเป็นอันตรายกับเด็กผู้หญิงหลายคน เท่าที่ดูคือชอบเรียกเด็กเข้ามาฝึกงาน แล้วจบด้วยการแต๊ะอั๋ง บางคนถึงขนาดกระทำชำเราและกลายเป็นผู้ป่วยซึมเศร้า เหยื่อแต่ละคนไม่กล้าดำเนินคดี เพราะพ่อของผู้กระทำความผิดมีตำแหน่งใหญ่โต แบ็คดี

วันนี้ผมเลยขอเสี่ยงเปิดเผยความเป็นจริงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหาย ยังไงผมขอให้ทางพรรคทำการตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยครับ ส่วนเจ้าตัวไม่ต้องมาชี้แจงอะไรกับผมหรอก ไปตามหมายเรียกก็พอ เพราะเหยื่อเริ่มทยอยไปให้การกับเจ้าหน้าที่แล้ว ตัวผมยอมเสี่ยงหมิ่นประมาทครับ ถ้ากล้าก็มา เพราะหลักฐานผมแน่นจริงๆ

#นักการเมืองภัยสังคม #เหยื่อที่เคยถูกบุคคลนี้กระทำติดต่อมาได้ตลอดนะครับ”

ต่อมานายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวว่าไม่ใช่ตนเอง พร้อมเตรียมแถลงข่าวด่วนวันนี้ 15.00 น. ที่ลานแม่พระธรณี พรรคประชาธิปัตย์

ล่าสุดเวลาประมาณ 15.00 น.วันนี้ (14 เมษายน 2565) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย และผอ.ศูนย์การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.-ส.ก. พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า ตนรู้สึกช็อก และตกใจกับเรื่องที่เกิดทางโซเชียลมีเดีย ตนยืนยันความบริสุทธิ์ใจ หลายข้อกล่าวหาเกิดขึ้น ตนขอปฏิเสธ และไม่ใช่เรื่องจริง หลายคนที่รู้จักตนก็รู้ดีว่าตนไม่ใช่คนแบบนั้น แม้เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวโดยตรงของตนแต่ก็กระทบกับการทำงานในหน้าที่ภารกิจของพรรคประชาธิปัตย์ที่ตนมีตำแหน่งอยู่

“ผมรู้สึกรับผิดชอบในงานของผมที่กระทบกับภาพลักษณ์การทำงานของผม ผมจึงตัดสินใจที่จะลาออกจากทุกตำแหน่งของพรรคตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อที่จะให้พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และชี้แจงข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่ รวมถึงไม่ให้กระทบกับงานของพรรค” นายปริญญ์ กล่าว


วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2565

ปิดฉากเส้นทางการเมือง "ปารีณา" ศาลพิพากษาห้ามดำรงตำแหน่งการเมืองตลอดชีวิต

"ปารีณา ไกรคุปต์" ให้สัมภาษณ์เสียงสั่น หลังศาลฎีกาพิพากษา ผิดจริยธรรมร้ายแรงจากกรณีรุกป่าราชบุรี สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง 10 ปี และห้ามดำรงตำแหน่งการเมืองตลอดชีวิต




วันนี้ (7 เม.ย. 65) ศาลฎีกา นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม

โดยศาลฎีกามีคำพิพากษา น.ส.ปารีณา มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง และ สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 64 รวมทั้งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง 10 ปี เเละไม่มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง เเละดำรงตำเเหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก คณะกรรมการป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดว่า น.ส.ปารีณา ยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบดังกล่าว เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีเป็นส.ส. กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม และกรณีเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมโดยให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย

ทั้งนี้ตาม พระราชบัญัติประกอบรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 ระบุว่า ผู้ใดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไม่ว่าในกรณีใด ผู้นั้นไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือ สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดํารงตําแหน่งทางการเมืองใดๆตลอดชีวิต

ล่าสุด หลังจากที่ศาลพิพากษา ปารีณา ไกรคุปต์ ปรากฏว่าในไลน์กลุ่ม ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้มี ส.ส.เข้ามาให้กำลังใจ น.ส.ปารีณา จนกระทั่งเวลา 10.21 น. น.ส.ปารีณาได้ออกจากไลน์ของกลุ่ม ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แล้ว

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อ น.ส.ปารีณา ตั้งแต่รู้ผลมติศาลชี้ออกมาก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งเวลา 13.45 น. น.ส.ปารีณา ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ด้วยเสียงสั่นเครือ ว่า “ตอนนี้ยังไม่เจอใคร ยังไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้ ตัวชา กำลังทำใจอย่างเดียว ไม่ต้องทำพื้นที่แล้ว เพราะเหมือนคนตกงาน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีสภาให้ไป ไม่มีไก่ให้เลี้ยง ไม่เหลืออะไรแล้ว”

ที่มา โพสต์ทูเดย์, แนวหน้า



วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2565

‘ชูวิทย์’ ชี้ ‘ธนาธร’ เผชิญกับวงจรอุบาทว์การเมืองไทย ครอบครัวโดนเล่นงานสังเวยการต่อสู้

‘ชูวิทย์’ เผยไม่รู้ ‘ธนาธร’ คิดว่าคุ้มไหม? หลังพี่น้อง-แม่โดนคดี สังเวยการต่อสู้ กับวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทย ที่ไม่ได้เล่นกันแบบตรงไปตรงมา


วันนี้ (2 เมษายน 2565) อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืนชื่อดัง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นกรณีที่กรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ นส.3 ก. ของ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และบุตรอีก 2 คน เนื่องจากพบว่าเป็นที่ป่าไม้ถาวร โดยมีรายละเอียดดังนี้

ไม่รู้ว่าคุ้มไหม?

เรื่องที่ดินของคุณแม่ธนาธรที่เป็นปัญหาเมื่อลูกมาเล่นการเมือง ทำให้ถูกขุดคุ้ย จนถูกหาว่าครอบครัวโกงบ้านโกงเมือง

ผมเข้าใจดีว่าคุณสมพรถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ซื้อที่ดินมาอย่างถูกกฎหมาย และสุจริตใจ

แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำใจเมื่อเข้าสู่วงจรการเมือง และไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกับรัฐบาล ย่อมเป็นที่ถูกจับจ้อง ไม่ว่าเรื่องใด

คุณธนาธรเข้าสู่การเมือง แรกเริ่มด้วยจิตใจที่ต้องการเห็นบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลง แต่กลับต้องแลกด้วยการที่ทั้งน้อง ทั้งแม่ ถูกเล่นงาน

รวมทั้งตัวคุณธนาธรเอง ที่ต้องถูกห้ามเล่นการเมือง

จากพรรคอนาคตใหม่ กลายเป็นพรรคก้าวไกล

จากหัวหน้าพรรค กลายเป็นแค่หัวหน้าคณะ

จากแคนดิเดตนายกฯ กลายเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา

ยังไม่พูดถึงเงินทองที่เสียไปกับการเมือง และบรรดาคน “หน้าไหว้หลังหลอก” ที่แปรสภาพจาก ส.ส.ในพรรคใต้สังกัด กลายสภาพเป็น “งูเห่า”

ไม่พอ ยังมีคดีตามมาอีกเป็นพรวนทั้งตระกูล

ความเจ็บปวดนี้เป็นสิ่งที่คุณธนาธรต้องแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว สังเวยให้กับการต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง

คุณธนาธรได้เข้าใจการเมืองไทย ว่าไม่ได้เล่นกันแบบตรงไปตรงมา หนทางไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวัง มันช่างโหดร้าย จนบางครั้งต้องกลับมาทบทวนว่า

“มันคุ้มหรือ? กับความหวังดีต่อบ้านเมือง”

มีเพียงคุณธนาธรเท่านั้นที่จะตอบได้

ผมไม่ได้พูดให้คุณธนาธรท้อแท้แต่อย่างใด

แต่ ณ วันนี้ ย่อมได้ลิ้มรสชาติของการเมืองไทยได้เป็นอย่างดีแล้ว

ขอต้อนรับเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์ของการเมืองไทย”


ที่มา มติชน

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2565

ปู่ ย่า ขับรถพาหลานวัยแปดเดือนติดโควิด ตระเวนหาไม่มี รพ.ไหนรับ

ปู่ ขับรถตระเวน 3 จังหวัด พาย่าและหลาน 8 เดือน ที่ติดโควิด หาโรงพยาบาลรักษา แต่ไม่มี รพ.ไหนรับ เนื่องจากเตียงเต็มและไม่มีหมอรักษาเด็ก


นายเอกภพ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่กู้ชีพเข้าตรวจอาการเด็กหญิงวัย 8 เดือน ผลปรากฏว่ามีค่าออกซิเจนในเลือดที่ต่ำมากๆ วัดไข้ได้ 38 องศา เด็กมีอาการหายใจติดขัด จึงให้ทีมงานประสานไปยังโรงพยาบาลเด็ก ถนนราชวิถี ทันที พร้อมฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพ่อแม่ที่มีลูกอ่อนให้ระวังเป็นพิเศษ เพราะโควิดระลอกนี้เด็กมีอาการหนักมากและทรุดลงอย่างรวดเร็ว

นายวิรัช ซึ่งเป็นปู่ของเด็ก ได้เล่าว่า เมื่อ 5 วันที่แล้ว ลูกสาวกับลูกเขยติดเชื้อโควิดและไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล โดยช่วง 12.00 น. ของวานนี้(9 ม.ค.65) ตนเองกับภรรยา และหลานสาววัย 8 เดือน ได้ไปตรวจโควิดที่ปทุมธานี จากการตรวจพบว่าย่ากับหลานสาววัย 8 เดือน ติดเชื้อโควิด ส่วนตนเองไม่ติด และโรงพยาบาลแจ้งว่าตอนนี้เตียงเต็ม ต้องรออีก 150 คิว เตียงถึงจะว่าง จึงให้กลับไปกักตัวอยู่ที่บ้าน หรือติดต่อโรงพยาบาลอื่น


จนกระทั่งเวลาประมาณ 21.00 น. ของวันเดียวกัน หลานมีอาการหายใจติดขัด ตัวร้อน อาการค่อยไม่ดี แย่ลงเรื่อยๆ จึงตัดสินใจขับรถพาหลานไปตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่เปิดอยู่ในปทุมธานี กรุงเทพฯ และนนทบุรี โดยให้ลูกช่วยติดต่อประสานตามโรงพยาบาลต่างๆ อีกทาง แต่ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับ เนื่องจากทุกโรงพยาบาลไม่มีหมอรักษาเด็ก จึงตัดสินใจจอดรถรอริมถนนหน้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในนนทบุรี เพื่อรอถึงตอนเช้า หมอเด็กมาทำงาน โรงพยาบาลจะได้รับรักษา โชคดีช่วงประมาณเที่ยงคืนมีเจ้าหน้าที่ของเพจ “สายไหมต้องรอด” ติดต่อเข้าให้การช่วยเหลือ

ที่มา ข่าวสดออนไลน์


วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2564

ฉายารัฐบาล 2564 ยื้อยุทธ์ วาทะแห่งปี นะจ๊ะ

ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาที่นักข่าวทำเนียบฯ จะตั้งฉายารัฐบาล, นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อสะท้อนมุมมองการทำงานของรัฐบาล โดยในปี 2564 มีฉายา ดังนี้

Government Nicknames

ฉายารัฐบาล ‘ยื้อยุทธ์’
ฉายา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ‘ชำรุดยุทธ์โทรม’

โดยเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2564 ที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ ซึ่งตามปกติแล้วสื่อมวลชนสามารถดักรอสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้บริเวณทางเชื่อม และประตูด้านหน้าตึกสันติไมตรีหลังนอก แต่ภายหลังที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลได้ออกฉายาประจำปี ทางสำนักโฆษกสํานักนายกรัฐมนตรี ประกาศ แจ้งสื่อมวลชนขอความร่วมมือ งดดักสัมภาษณ์บริเวณทางเชื่อมตึกไทยและตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล 

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ฉายา ‘รองช้ำ’

ผู้สื่อข่าวต่างพากันไปจ่อไมค์สัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก่อนร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงกรณีสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาลตั้งให้เป็น “รองช้ำ” ว่า ตนเองก็รองช้ำ รองช้ำเพื่อชาติไม่เป็นอะไรหรอก รองช้ำเพื่อชาติ เพื่อให้ประเทศชาติอยู่ต่อกับเราได้

พร้อมกับสอบถามถึงความคืบหน้าเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ มีหารคัดเลือกผู้สมัครหรือยัง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จะมีประชุมบ่ายนี้เพื่อเสนอชื่อเข้ามา จะมีชื่อภรรยาของนายสิระ เจนจาคะ หรือไม่ ก็แล้วแต่กรรมการบริหารพรรค จะเป็นผู้เสนอชื่อเข้ามา ส่วนการลงพื้นที่ร่วมกันที่นครราชสีมาเมื่อวานนี้เป็นเรื่องธรรมดา เขาเป็นสมาชิกพรรคก็ติดตามลงพื้นที่ปกติ นายสิระก็ตามไปเรื่อยๆ ทุกที่

เมื่อสอบถาม พล.อ.ประวิตร ถึงกรณีซูเปอร์โพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนยกให้พล.อ.ประวิตร เป็นบุคคลของสังคมแห่งปี 2564 ในใจประชาชน ด้านการช่วยเหลือแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนและปัญหาสังคม พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวว่า จะทำต่อไปให้ดีที่สุดในเรื่องการช่วยประชาชนต่อไปจะยืนหยัดเป็นฐานของพรรคเราจะต้องช่วยคนจนช่วยทุกคนให้อยู่ดีกินดี

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ฉายา ‘ว้ากซีน’

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ฉายา ‘นายกฯ บางโพล’

โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้กล่าวถึงฉายา “นายกฯ บางโพล” ว่า ตลกดี ส่วนตัวไม่มีความเห็นอะไร ยอมรับว่าคนตั้งฉายาก็เก่ง ส่วนที่คิดว่าจะเป็น นายกฯ ตัวจริง ไม่ใช่แค่ นายกฯ บางโพล ตามที่มีการตั้งฉายาได้หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องอนาคต วันนี้เราก็มีนายกฯ อยู่แล้ว

นายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ฉายา ‘มหาเฉื่อย 4D’

เมื่อถามถึงกรณีถูกตั้งฉายา “มหาเฉื่อย 4D” นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวว่า ตนไม่รู้สึกโกรธแต่อย่างใด เมื่อถามย้ำว่า ไม่เคืองใช่หรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ ระบุว่า “ไม่เคืองหรอก เพราะอาจจะไม่ค่อยได้เจอกัน ก็อาจจะคิดได้ ไม่มีปัญหาอะไร” เมื่อถามย้ำว่า ไม่โกรธจริงๆ ใช่หรือไม่ นานสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า “จะไปโกรธได้อย่างไร เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด”

เมื่อถามว่า จะสานต่องาน 4D หรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ก็สานต่อสิ เพราะของมันดีนี่ และเป็นเรื่องสำคัญให้ความรู้ความเข้าใจ และประชาชนต้องเข้าใจมากกว่านี้ คนอื่นจะได้เข้าใจมากกว่านี้ และเดี๋ยวก็จะเห็นผล เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในระยะยาวก็จะเห็นผล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ฉายา ‘สุชาติ ชมเก่ง’


นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ฉายา ‘สายขม นมชมพู’


นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ฉายา ‘ดีลล่มระดับโลก’


สำหรับ ‘นะจ๊ะ’ ได้เป็นวาทะแห่งปี 2564 

ที่มา www.mcot.net, workpointtoday.com

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2564

โฟกัส ยื่นฟ้องเกรียนคีย์บอร์ด เรียกค่าเสียหายหนึ่งล้านบาท

นักแสดงสาว โฟกัส จีระกุล พร้อมด้วยทนาย ษิทรา เบี้ยบังเกิด มายื่นฟ้องต่อศาลคดีหมิ่นประมาท กรณีเกรียนคีย์บอร์ดแสดงความเห็นดูหมิ่นในโซเชียลมีเดีย และกระทำแบบซ้ำซาก เรียกค่าเสียหาย 1 ล้าน เผยยังมีรายชื่ออีก 32 ราย


สิบโมงเช้าวันนี้(9 ส.ค. 2564) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก น.ส.โฟกัส จีระกุล หรือ นักแสดงสาว โฟกัส แฟนฉัน พร้อมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความนำเอกสารหลักฐานมายื่นฟ้องนายสำราญ (สงวนนามสกุล) ซึ่งเป็น บุคคลที่แสดงข้อความและความคิดเห็นเข้าข่ายหมิ่นประมาทฯ และดูหมิ่นในโซเชียลมีเดีย

โดยทนายความ นายษิทรา กล่าวว่า วันนี้เป็นการเดินทางมายื่นฟ้องเกรียนคีย์บอร์ดที่มีพฤติกรรมโพสต์ข้อความในกลุ่มข่าวกลุ่มหนึ่งในเฟซบุ๊กและทำให้มีบุคคลอื่นเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นในเชิงลบร่วมด้วย สำหรับวันนี้เบื้องต้นจะดำเนินการฟ้อง 1 ราย คือ นายสำราญ (สงวนนามสกุล) เพราะมีพฤติกรรมกระทำผิดซ้ำและชัดเจนมากที่สุด ซึ่งรายนี้ จะมีการเรียกค่าเสียหาย 1 ล้านบาท 

ทนายความของโฟกัส กล่าวต่อว่า ทั้งนี้มีรายชื่อที่รวบรวมได้มาอีก 32 คนที่อยู่ในระหว่างพิจารณาดำเนินการฟ้องทางอาญา ส่วนหนึ่งมีการพิสูจน์ทราบตัวบุคคลแล้วและเข้าข่ายดูหมิ่นร่วมด้วยซึ่งต่อไปทางทนายจะยื่นข้อมูลให้โฟกัสพิจารณาค่าเสียหายว่าจะทำอย่างไรกับรายอื่นๆ 

อย่างไรก็ตาม การที่ยื่นฟ้องบุคคลรายนี้ มีการกระทำผิดด้วยการโพสต์ข้อความที่สื่อถึงโฟกัสไม่ดีจำนวน 2 ครั้ง มีการแคปรูปภาพและนำไปประกอบข้อความ ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งตามกระบวนการนั้น ทางศาลจะต้องมีการออกหมายเรียกให้มาพบก่อน หลังจากนั้นก็จะต้องพูดคุยกัน และหาแนวทางที่จะเยียวยา

ขณะที่ นักแสดงสาว โฟกัส กล่าวว่า ปล่อยเหตุการณ์ลักษณะนี้ให้เกิดขึ้นมานานแล้ว จะยกให้เคสนี้เป็นตัวอย่าง ที่จะรับคำขอโทษเป็นเงินสดเท่านั้น ที่ผ่านมาเวลาที่ตนได้แสดงความคิดเห็น ก็ถือว่าวิจารณ์ในฐานะประชาชนคนหนึ่งการที่จะนำคำพูดของตนไปวิจารณ์ ก็ขอให้คิดก่อนพูดไม่อย่างนั้นก็จะเสียเวลาและเสียเงิน โดยดาราสาวได้ยืนยันว่าจะขอเจอหน้าผู้ที่โดนฟ้องก่อน และค่อยตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง.


วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

หนุ่ม กรรชัย กราบเรียน สนธิญา ปมมาออกรายการไม่ได้ "ค่าน้ำมัน"

หลังจาก นายสนธิญา สวัสดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ทวงถามไปยังพิธีกรรายการโหนกระแส กรรชัย กำเนิดพลอย ที่ได้ไปร่วมเป็นแขกรับเชิญว่า มูลค่าเวลาของรายการนาทีละ 250,000 บาท แต่กลับไม่มีค่าตอบแทนเป็น "ค่าน้ำมัน" ให้แขกรับเชิญเลยหรือ 


พร้อมระบุว่าตอนที่ไปร่วมรายการอื่นก็ยังได้รับเป็นจำนวนไม่กี่พันบาท ซึ่งตนก็บริจาคช่วยเหลือโควิด-19 ไปหมด แต่หากว่าทางรายการมีค่าตอบแทนให้ตน ก็ขอให้บริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือโควิดของช่อง 3 ไปเลยก็ได้ และหวังว่าคราวหน้าจะมีค่าตอบแทนให้แขกรับเชิญท่านอื่นๆ ที่ไปร่วมรายการบ้าง ซึ่งต่อมา นายสนธิญา ก็ได้ลบข้อความดังกล่าวออกไป 

อย่างไรก็ตาม มีชาวเน็ตหลายคนที่แคปภาพเอาไว้ และนำมาวิพากษ์วิจารณ์เป็นประเด็นในโลกออนไลน์ต่อกันอย่างกว้างขวาง จนกระทั่ง หนุ่ม กรรชัย ได้โพสต์ข้อความตอบกลับไปยังสนธิญา ระบุว่า

กราบเรียนถึงคุณ สนธิญา สวัสดี ที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน (สภาผู้แทนราษฎร)

ก่อนอื่นต้องขออภัยคุณสนธิญา มา ณ ที่นี้ด้วยครับ ในกรณีที่คุณสนธิญาแจ้งว่าไม่ได้รับเงินค่าน้ำมัน

ผมขอเรียนชี้แจงแบบนี้ครับ ว่า รายการโหนกระแส มีค่าใช้จ่ายให้กับแขกรับเชิญที่มาร่วมรายการทุกท่านครับ และ ผมไม่มีเจตนาที่จะไม่ให้ค่าใช้จ่ายกับตัวคุณสนธิญาเลย แต่เหตุเพราะที่ผ่านมา ไม่ว่าทางนักการเมืองท่านใด หรือ ข้าราชการท่านไหนๆ ในทุกๆตำแหน่งที่มาออกรายการโหนกระแส ผมเคยนำเงินมอบให้กับท่านเหล่านั้น แต่ทุกท่านปฏิเสธหมด ไม่ยอมรับเงิน และให้เหตุผลกับผมว่า พวกเขาเป็นนักการเมือง เป็นข้าราชการ ไม่สมควรรับเงินจากรายการไหนๆที่ได้ไปออกเพื่อเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับประชาชนได้รับทราบ

เพราะฉะนั้นการรับเงินจะเป็นการดูไม่เหมาะสมอย่างมาก ผมจึงไม่กล้าที่จะให้ซองคุณสนธิญาครับ เหตุครั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าผมเข้าใจผิดว่าคุณสนธิญา จะถือกฎเกณฑ์เหมือนนักการเมืองท่านอื่นๆที่มาออก เพราะคุณสนธิญา มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน (สภาผู้แทนราษฎร) ผมจึงถือวิสาสะไม่ได้ให้ซองไปเพราะเกรงจะไม่เหมาะสมกับตัวคุณสนธิญาเอง เรื่องนี้ต้องขออภัยที่คิดแทนคุณสนธิญานะครับ และผมขออนุญาตให้ทีมงานโอนเงินไปให้เพื่อความสบายใจของผมและคุณสนธิญานะครับ

กราบเรียนขออภัย มา ณ ที่นี้ครับ

กรรชัย กำเนิดพลอย

ปล. ส่วนค่าเวลารายการที่คุณสนธิญาแจ้งว่านาทีละสองแสนห้า ผมว่าคุณอาจเข้าใจผิดครับ ความหมายคือ วันนั้นในการสัมภาษณ์หลังจบรายการ คุณสนธิญาบอกว่าอยากพูดต่ออีกนิด ผมจึงกล่าวขอโทษและแจ้งคุณว่า มันเกินเวลาสถานีมาห้านาทีแล้ว ผมอาจโดนปรับเงินสองแสนห้าได้ เพราะเกินเวลาเค้ามามากแล้วครับ ไม่ใช่เวลาในรายการผมนาทีละสองแสนห้านะครับ




วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

"หญิงหน่อย" จี้มาตรการเยียวยาโควิดของรัฐบาลยังไม่พอ เสนอ 6 มาตรการแก้ไขด่วน! ก่อนคนตัวเล็กจะอดตาย

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยสร้างไทย ฟาดรัฐบาล"กลั้นหายใจไม่ไหวแล้ว" มาตรการเยียวยาโควิดของรัฐบาลแค่นี้ยังไม่พอ ต้องพักหนี้ ลดค่าเช่า ลดค่า GP ส่งอาหาร ฯลฯ โดยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เนื้อหาดังนี้


‘กลั้นหายใจไม่ไหวแล้ว’ มาตรการเยียวยารัฐยังไม่พอ ต้องพักหนี้ให้ประชาชน เจรจาลดค่าเช่า ลดค่า GP ส่งอาหาร ด่วน! ก่อนคนตัวเล็กจะอดตาย. รัฐบาลประกาศมาตรการล่าสุดในการเยียวยาประชาชน จากการบริหารงานสถานการณ์โควิดที่ล้มเหลวของตัวเองอีกรอบ ดิฉันเรียกร้องมาตลอดทั้งเรื่องมาตรการด้านสาธารณสุขที่ต้องดำเนินการไปพร้อมกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพราะยิ่งนานวันยิ่งชัดว่าประชาชนจะอดตาย ก่อนได้วัคซีนป้องกันโรคด้วยซ้ำ

ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย รวมถึงพี่น้องประชาชนที่สายป่านไม่ยาว อาจจะถึงคราวต้องอดตาย เหมือนถูกบังคับให้กลั้นหายใจ เวลานี้กลั้นกันไม่ไหวแล้ว เขาอยากได้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของธุรกิจที่เดินไปพร้อมกับการมีชีวิตที่ดีมีความหวัง ไม่ใช่ไร้ทิศทาง จะตรวจโควิดหวิดยังต้องนอนรอความหวังข้ามคืน

แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการผ่านครม.มาแล้วในวันนี้ แต่ดิฉันยังยืนยันข้อเสนอการเยียวยา จากเงินกู้ 5 แสนล้านบาท มาช่วยพี่น้องคนไทยที่เดือดร้อนดังนี้ค่ะ

1.ให้จ่ายค้าจ้างลูกจ้างของธุรกิจรายย่อย 75 % ของรายได้ที่หายไป 

2. ประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ให้จ่ายชดเชยเดือนละไม่ต่ำกว่า 7,000 บาท

3.งดเก็บค่าน้ำค่าไฟบ้านที่ใช้ไม่เกิน 1,000 บาท ถึงสิ้นปี (ไม่ใช่แค่ 2 เดือน)

4.พักชำระหนี้ ทั้งค่าผ่อนรถและผ่อนบ้าน อย่างน้อย 6 เดือน โดยธนาคารของรัฐสามารถดำเนินการได้ทันที ส่วนธนาคารเอกชนอาจต้องตั้งคณะทำงานขึ้นมาเจรจาเพื่อพักชำระหนี้ในส่วนนี้ให้กับประชาชน เพราะบ้านคือที่ซุกหัวนอน และรถคือเครื่องมือทำมาหากิน มันจำเป็นจริงๆ

5. การสั่งล็อกดาวน์กิจการ รัฐต้องหารือกับผู้ให้เช่าพื้นที่งดจัดเก็บค่าเช่าแผง ซึ่งรัฐอาจจะชดเชยผู้ให้เช่าพื้นที่ด้วย

6. รัฐต้องเจรจากับบริษัทส่งอาหาร ให้ลดค่า  GP ร้านอาหารลง เพื่อช่วยร้านอาหารขนาดเล็กที่ ขณะนี้ใกล้จะหมดลมแล้ว เพราะว่าหลังจากนี้ประชาชนที่อยู่บ้าน ต้องใช้บริการบริษัทส่งอาหารเหล่านี้จำนวนมาก อยากให้สนับสนุนอย่าง โรบินฮูด

ข้อเสนอเหล่านี้ 70% สามารถทำได้ทันที อยากขอร้องรัฐบาลให้เร่งดำเนินการ เพราะวันนี้ ประเทศไทยมาถึงจุดที่ยากลำบากมาก ประชาชนอดอยากแร้นแค้นมาก อยากให้รัฐบาลเห็นใจ วันนี้รัฐบาลเลี่ยงใช้คำว่าล็อกดาวน์ แต่ไม่ว่าคุณจะใช้คำว่าอะไรผลกระทบที่เกิดขึ้นมันไปตกอยู่กับประชาชน จนถึงขั้นแยกได้ว่าไม่มีจะกิน

มันถึงเวลาแล้วค่ะ ที่ท่านต้องเอาหัวใจมาทำงาน ต้องเอาหัวใจไปสอดส่องดูแลประชาชน ว่าเขาเดือดร้อนแค่ไหน เขาไม่ได้นั่งสบายๆรอกินเงินเดือน หรือจะตัดเงินเดือน 2-3 เดือน ไม่ได้เป็นผลอะไรกับนายกฯ หรอก แต่วันนี้เงิน 5 บาท 10 บาท ที่ควรจะซื้อกินแต่ละวันยังไม่มี


ที่มา www.posttoday.com

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

พรรคไทยสร้างไทย ชวนลงชื่อฟ้องรัฐบาลเหตุดื้อซื้อวัคซีนซิโนแวค

ประชาชนกว่าห้าหมื่นรายแห่ลงชื่อหนุนพรรคไทยสร้างไทยฟ้องรัฐบาล ปมดื้อใช้งบประมาณกว่า 6,000 ล้านบาทซื้อวัคซีนซิโนแวค 


เมื่อวันพฤหัสบดี (8 ก.ค.) พรรคไทยสร้างไทยได้เผยว่ามีประชาชนกว่า 50,000 คน ร่วมลงชื่อสนับสนุนให้พรรคฟ้องเพื่อดำเนินคดีคณะรัฐมนตรีและผู้สั่งซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของซิโนแวค ทั้งที่ทราบดีว่าป้องกันโรคไม่ได้ โดยทางพรรคมองว่าเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 และ 55 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

โดยในรัฐธรรมนูญปี 2560 มีใจความสำคัญเกี่ยวกับ 2 มาตราดังกล่าวว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พรรคไทยสร้างไทยมองว่าวัคซีนซิโนแวคมีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า ช่วยให้ไม่ป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 แต่ไม่ช่วยป้องกันโรคได้เลย แต่รัฐบาลก็ยังเดินหน้าจัดซื้อโดยใช้งบประมาณกว่า 6,000 ล้านบาท

พรรคไทยสร้างไทยเปิดตัวแคมเปญ #ฟ้องรัฐบาลฆาตกร ด้วยมองว่ารัฐบาลนี้บริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผิดพลาด จนทำให้ประชาชนขาดรายได้ ที่นำไปสู่ความเครียดและจบชีวิตตัวเอง ขณะที่ผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร บางคนเสียชีวิตในบ้านพัก เพราะไม่มีเตียงรักษา

ที่มา สนุกดอทคอม

กระแสดราม่า ฟิล์ม รัฐภูมิ(film rattapoom) ที่คนยังจำไม่ลืม

เส้นทางชีวิตในวงการบันเทิงและการเมืองที่ผ่านมาของ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" มีเรื่องราวทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวที่มีผลกระทบอย่างหนักต่อช...