วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2565

“โต๋ ศักดิ์สิทธิ์” ลั่น! พลาดเองที่เชื่อลงทุน Forex-3D สิ่งที่สูญเสีย คือบทเรียนที่ต้องจ่ายให้กับความโง่

“โต๋ ศักดิ์สิทธิ์” เผยเสียค่าโง่ให้ Forex-3D เป็นบทเรียนราคาแพง ยันเป็นผู้เสียหาย ดาวน์ไลน์เป็นศูนย์ ไม่ได้ชวนใครต่อ บอกไม่แน่ใจเส้นกั้นระหว่างชวนกับแนะนำคืออะไร หลัง “กระทิง” ตอบผ่านโหนกระแสว่าไม่ได้ชวน ลั่น! ไม่ได้รับเงินค่าปิดปาก ยังไม่เคยได้อะไรทั้งสิ้น มีปรึกษาทนายเรื่องคดี พร้อมให้ความร่วมมือทุกอย่าง 


วานนี้ (15 ก.ย.2565) หนุ่ม “โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร” ที่ได้ชี้แจงผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ว่าไม่ได้มีเอี่ยวกับคดี Forex-3D และเป็นเพียงหนึ่งในผู้เสียหาย ที่ไม่ได้ออกมาแจ้งความ เพียงเพราะรู้สึกอายเท่านั้น ล่าสุดได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อแบบชัดๆ อีกครั้ง ในงานแถลงข่าวเปิดตัว บริษัท ทูโทน จำกัด (TRUETONE) ที่ได้ประกาศว่าหนุ่มโต๋ จะเข้ามานั่งบริหารค่าย LOVEiS Entertainment ในฐานะ Business Development and Worldwide Business Partnership ณ ร้าน HOBS The Playhouse at Groove ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

โดยโต๋ได้เผยกับสื่อมวลชนว่า “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในคำที่ผมเขียนชี้แจงลงไปในไอจีของผมแล้ว คนแรกที่ผมโทษเลยในเรื่องนี้ก็คือตัวผมเอง เพราะผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไร รู้สึกว่าตัวเองไปหลงเชื่อได้ยังไง โง่มากที่บอกว่าเว็บไซต์หนึ่งสามารถจะมาเทรดแทนเราได้ ฉะนั้นสิ่งที่ผมสูญเสียไปทั้งหมดผมคิดกับตัวเองตลอดว่านั่นคือบทเรียนราคาแพงที่ผมจ่ายไปกับความโง่ของตัวเอง เจ็บเราก็ต้องจำ”

ในรายการโหนกระแส “กระทิง ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์” ยืนยันว่าไม่ได้ชักชวน แต่เป็นโต๋ที่เข้ามาถามเอง

“มันเป็นการพูดคุยแนะนำกันอยู่ในกลุ่มที่เล่นกีฬาด้วยกัน ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมเขียน คือผมไม่แน่ใจว่าเส้นระหว่างการบอกว่าชักชวนหรือการแนะนำมันคืออะไร แต่เราเรียนรู้จากการที่เราไปนั่งเล่นกีฬาด้วยกัน แล้วก็พูดถึงเรื่องนี้ด้วยกัน จากนั้นก็มีการส่งเว็บไซต์มา แล้วเราก็เข้าไปดูซึ่งมันดูน่าเชื่อถือมากๆ จริงๆ ผมไม่อยากพูดเยอะ เพราะออกมาพูดตอนนี้หลายคนก็จะสงสัยว่าไปเชื่อได้ยังไง แต่ถ้าตอนนั้นคุณได้เห็นเว็บไซต์จริงๆ มันก็ทำให้เชื่อได้ ผมพลาดเองที่ไปหลงเชื่อ”

หลังมีข่าวยังไม่ได้คุยกับ “กระทิง” คิดว่าคือราคาที่ต้องจ่าย ให้กับความโง่ของตัวเอง

“ไม่ได้คุยครับ ผมเข้าใจมาตลอดว่า Forex-3D มันคือการลงทุน ฉะนั้นผมจึงคิดว่ามันคือราคาที่เราต้องจ่ายกับความโง่ของเราเอง ณ ตอนนั้นที่ไม่ทำอะไรเลยเพราะว่ามันเป็นความผิดของผมเองล้วนๆ ผมนั่งบอกตัวเองทุกวันว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว จะไม่มีการลงทุนหรือทำอะไรโดยที่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

ยกเป็นบทเรียน ไม่ได้เคยคิดมาก่อน ว่าจะกลายเป็นลูกทีมของใคร ต่อไปทำอะไรต้องศึกษาให้ดี

“ไม่คิด ผมไม่ทราบว่ามันคืออะไร ผมก็รู้พร้อมทุกคนครับ ส่วนที่หลายคนมองว่าติดกับดักความโลภ ต้องบอกว่าเมื่อ 3-4 ปีก่อนการลงทุนมีหลายรูปแบบมาก แล้วเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร นี่คือการลงทุนครั้งแรกของผมเลย อย่างที่ผมบอกว่ามันคือบทเรียนสำหรับผม ว่าก่อนที่จะลงทุนทำอะไร เราต้องรู้ว่ามันคืออะไร หลังจากนี้จะทำอะไร ในเมื่อเรามีประสบการณ์แล้ว เราเจ็บแล้วเราจำ ต่อไปนี้จะทำอะไรเราก็ต้องศึกษาให้ดีก่อน”

ไม่โทษใคร โทษตัวเอง

“อย่างที่บอกว่าผมโทษตัวเองครับ ถ้าเราไม่เข้าไปลองดูว่ามันคืออะไร แล้วก็ลองลงทุนโดยที่เราไม่รู้เนี่ย มันคือความผิดที่ตัวเราล้วนๆ”

ยืนยันไม่ได้รับเงินค่าปิดปาก ไม่เคยได้รับอะไรทั้งสิ้น

“ผมไม่เคยได้อะไร แล้วก็ไม่เคยได้รับเงินเพื่อจะไม่พูด ไม่เคย ตรงนี้ผมมั่นใจว่ามีหลักฐานสามารถตรวจสอบได้ แล้วผมก็ยินดีให้ตรวจสอบด้วย ว่าผมไม่เคยได้รับอะไรทั้งสิ้นครับ”

กำลังปรึกษาผู้ใหญ่กับทนาย เรื่องการดำเนินคดีในฐานะผู้เสียหาย

“ตอนนี้กำลังปรึกษาผู้ใหญ่กับทนายอยู่ครับ ถ้ามีอะไรอัปเดตจะแจ้งให้ทราบอีกที”

คำว่า “อาย” ที่โพสต์ลงไปถูกตีความไปหลายแง่มุม

“ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่ามันคืออะไรเลยครับ ผมก็ทราบพร้อมๆ ทุกคน แล้วผมถามหน่อยว่าถ้าเกิดคุณเป็นผมที่โดนหลอก ผมก็อาย อย่างที่ผมบอกเลยว่าคนแรกที่ผมโทษคือผมโทษตัวเองตัวเองที่ไปหลงเชื่อ”

เจ็บแล้วจำ จะลงทุนอะไรต้องศึกษา

“หลังจากนี้คือเรามีประสบการณ์แล้ว เราเจ็บและเราจำ ต่อไปนี้จะทำอะไร ลงทุนอะไรเราต้องศึกษา เราต้องรู้ เราต้องอธิบายได้ว่ามันคืออะไรครับ”

ผู้เสียหายบางส่วน พูดถึงการจะออกมารับผิดชอบของคนดัง

“อย่างที่ผมบอกครับ อันนี้พูดถึงเรื่องการแจ้งความใช่ไหมครับ คือ ณ ตอนนั้นเรารู้สึกอย่างนั้น ณ ตอนนี้ผมกำลังคุยกับผู้ใหญ่และทนายความอยู่ครับ”

ตอนนี้ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อมา

“ไม่มีครับ อย่างที่ผมบอกว่าตามข้อมูลทาง DSI ที่ผมบอกไป กรณีเดียวที่จะเป็นผู้เสียหายได้ก็คือผมไม่ได้ชวนใครต่อ ดาวน์ไลน์ของผมคือศูนย์ ผมยินดีให้ความร่วมมือทุกๆ อย่างครับ”

บอกตัวเองก็คือเหยื่อ และผู้เสียหายคนหนึ่ง

“ใช่ครับ พูดตรงๆ ผมก็คือเหยื่อและผู้เสียหายคนหนึ่ง”

รับเครียดนิดหน่อย แต่มั่นใจว่าตนก็เสียหายเหมือนกัน ดาวน์ไลน์เป็นศูนย์ ไม่ได้ไปชวนใครต่อ

“นิดหน่อยครับ แต่ผมมั่นใจว่าผมก็เสียหายเหมือนกัน และตามข้อมูล DSI ที่ผมบอกเลยครับ ดาวน์ไลน์ของผมคือศูนย์ และคุณไม่ได้ชวนใครต่อ ซึ่งผมมั่นใจว่าผมอยู่ในกลุ่มนี้ และผมยินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง ยินดีให้ข้อมูลทุกๆ อย่างครับ

ส่วนเรื่องแจ้งความเดี๋ยวผมขอปรึกษาผู้ใหญ่และทนายความ แล้วจะอัปเดตให้ทราบครับ”

ขอบคุณทุกกำลังใจ ยังเขินที่จะบอก พลาดเสียค่าโง่

“ผมขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งเข้ามานะครับ ผมก็พลาดได้ ผมก็เสียค่าโง่ได้ ผมมายืนอยู่ตรงนี้ผมก็รู้สึกว่ามันเขินที่จะบอก คือเราเสียค่าโง่ไปครับ และนี่คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกทุกคนแค่นี้ครับ นี่คือคำอธิบายที่ผมบอกว่าเขินและอาย เพราะเราก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันครับ”

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565

เริ่มใช้ อัตราค่าปรับกฎหมายจราจรใหม่ เพิ่มโทษปรับ-จำคุก

กฎหมายจราจรใหม่ 2565 ได้เริ่มบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 โดยอัตราค่าปรับฝ่าฝืนกฎจราจรล่าสุด มีโทษปรับ จำคุก หนักกว่าเดิมหลายเท่า มีรายละเอียดอย่างไรอ่านได้ที่นี่


พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ได้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากยังเป็นช่วงเริ่มต้นเพื่อให้ประชาชนได้ปรับตัวกับกฎหมายจราจรฉบับใหม่นี้ ล่าสุด พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายานนท์ รองผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) ระบุว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยบังคับใช้กฎหมายจราจรฉบับใหม่ควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ

โดยเฉพาะประเด็นเรื่องโทษปรับที่กฎหมายใหม่เพิ่มอัตราโทษสูงขึ้น เพื่อบังคับใช้ให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน บางความผิดมีโทษสูงสุดปรับไม่เกิน 4,000 บาท แต่ในช่วง 3 เดือนแรกนี้ ตร.จะยังใช้เกณฑ์ค่าปรับใบสั่งจราจรตามกฎหมายเดิมไปพลางก่อน (ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องเกณฑ์ค่าปรับตามที่เปรียบเทียบ พ.ศ.2563) เพื่อให้เวลาประชาชนได้ปรับตัวและปฏิบัติตามกฎจราจรได้อย่างถูกต้อง 

ตัวอย่างเช่น 

ข้อหาขับรถเร็วเกินกำหนด ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง

โทษสูงสุดตามกฎหมายใหม่มีโทษปรับสูงถึง 4,000 บาท แต่ค่าปรับตามใบสั่งจะกำหนดไว้ที่ 500 บาท

ทั้งนี้ ในระยะต่อไปจะปรับปรุงเกณฑ์ค่าปรับตามใบสั่งให้สอดคล้องกับกฎหมายจราจรฉบับใหม่  

ข้อหาที่เป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ หรือปัจจัยเกิดความสูญเสียต่อผู้ขับขี่

ฝ่าฝืนเครื่องหมายทางม้าลาย ขับรถเร็วเกินกำหนด ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง ไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ตร.จะพิจารณากำหนดอัตราโทษปรับเป็นขั้นบันได ตามจำนวนครั้งและประวัติการกระทำผิดด้วย เช่น ทำผิดครั้งที่ 1 โทษปรับตามใบสั่ง 500 บาท 

หากทำผิดข้อหาเดิมเป็นครั้งที่ 2 โทษปรับตามใบสั่งเป็น 1,000 บาท เป็นต้น 

ทั้งนี้ ใบสั่งทุกใบจะถูกกำกับโดยระบบฐานข้อมูลใบสั่งที่เรียกว่า PTM (Police Ticket Management) ซึ่งจะระบุจำนวนค่าปรับตามเกณฑ์ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดไว้ในใบสั่งทุกใบ ดังนั้น ค่าปรับจึงเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

นอกจากนี้กรณีการเพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา ตร.ได้พิจารณาตามหลักกฎหมายแล้ว จะไม่นำประวัติการกระทำผิดที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 5 กันยายน 2565 มาประกอบการพิจารณาเพิ่มโทษ แต่จะเริ่มบันทึกประวัติการทำผิดครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.2565 เป็นต้นไป

สำหรับการตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยถือปฏิบัติตามมาตรฐาน SOP การตั้งจุดตรวจงานจราจร ตามที่ ตร. ได้กำหนดไว้แล้วอย่างเคร่งครัด 

สำหรับกฎหมายฉบับใหม่ได้เพิ่มอัตราโทษปรับที่เป็นปัจจัยต่อการเกิดอุบัติเหตุ เป็นปัจจัยเสี่ยงในการสูญเสียของผู้ขับขี่และผู้ใช้ทางไว้ ดังนี้ 

ขับรถเร็วเกินกำหนด

ปรับไม่เกิน 4,000 บาท เดิม ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง

ปรับไม่เกิน 4,000 บาท เดิม ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย

ปรับไม่เกิน 4,000 บาท เดิม ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

ขับรถย้อนศร

ปรับไม่เกิน 2,000 บาท จากเดิมที่โทษปรับไม่เกิน 500 บาท

ไม่สวมหมวกนิรภัย

ปรับไม่เกิน 2,000 บาท จากเดิมที่โทษปรับไม่เกิน 500 บาท

ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย

ปรับไม่เกิน 2,000 บาท จากเดิมที่โทษปรับไม่เกิน 500 บาท

เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น จากอัตราโทษเดิมจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 2,000-10,000 บาท เป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เมาแล้วขับ

ทำผิดครั้งแรก จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ทำความผิดครั้งแรก จำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับ 50,000-100,000 บาท (ศาลจะลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ)

การรัดเข็มขัดนิรภัย

รถที่ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยได้ ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้ 

รถกระบะ

ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยในที่นั่งตอนหน้า กรณีเป็นรถกระบะสองตอนผู้โดยสารตอนหลัง ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยด้วย หากฝ่าฝืนไม่รัดเข็มขัดดังกล่าวข้างต้นต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

การนั่งบริเวณแคป หรือนั่งท้ายกระบะ

สามารถนั่งได้โดยไม่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยแต่ต้องนั่งไม่เกินจำนวนที่กำหนดในลักษณะที่ปลอดภัย และผู้ขับขี่ต้องขับขี่ด้วยความเร็วตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศกำหนดซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 4 ธ.ค. 2565 

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ


กระแสดราม่า ฟิล์ม รัฐภูมิ(film rattapoom) ที่คนยังจำไม่ลืม

เส้นทางชีวิตในวงการบันเทิงและการเมืองที่ผ่านมาของ "ฟิล์ม รัฐภูมิ" มีเรื่องราวทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวที่มีผลกระทบอย่างหนักต่อช...